มร. เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความสำเร็จในการครองความเป็นผู้นำวัฒนธรรมกาแฟในประเทศไทยว่า “ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ มีความภาคภูมิใจที่ลูกค้าไว้วางใจและให้เราเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศไทย สตาร์บัคส์ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ “ประสบการณ์สตาร์บัคส์” ที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองหาประสบการณ์การดื่มกาแฟที่หลากหลาย รวมถึงมีความสนใจเรื่องกาแฟที่เพิ่มมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ในปี 2559 สตาร์บัคส์ ได้ให้บริการเครื่องดื่มเฉลี่ยภายในร้านสูงถึง 3.5 ล้านแก้วต่อเดือน”
3 นวัตกรรม “เมล็ดกาแฟ – ศาสตร์และศิลปะการชง –บาริสต้า” หัวใจสำคัญในครองความเป็นผู้นำวัฒนธรรมกาแฟอย่างแท้จริง
ในโอกาสครบรอบ 18 ปี สตาร์บัคส์ ยังได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศไทย โดยการเปิดตัวร้านรูปแบบใหม่ Starbucks Reserve Experience Store (สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ เอ็กซ์พีเรียนซ์ สโตร์) แห่งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเกษร เพื่อยกระดับประสบการณ์การดื่มกาแฟ ผ่าน 3 นวัตกรรม “เมล็ดกาแฟ – ศาสตร์และศิลปะการชง – บาริสต้า” มอบประสบการณ์สุดยอดกาแฟคุณภาพเยี่ยมชนิดพิเศษที่หายากและมีจำนวนจำกัด ผ่านเครื่องชงกาแฟ Victoria Arduino VA 388 Black Eagle ที่ใช้ในการแข่งขัน Barista Championship ประจำปี 2015 – 2016 รวมถึง Starbucks Reserve™ Experience Bar ที่เพิ่มความพิเศษให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟด้วยเครื่องชงหลากหลายรูปแบบอย่างใกล้ชิด โดยมีคอฟฟี่มาสเตอร์ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกาแฟเป็นผู้สร้างสรรค์กาแฟแก้วพิเศษให้กับลูกค้า
ในฐานะผู้นำวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศไทย สตาร์บัคส์ ได้ให้บริการที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ปัจจุบัน สตาร์บัคส์ มีจำนวนทั้งสิ้น 262 สาขาทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นร้าน Starbucks Coffee Leadership Store (สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ลีดเดอร์ชิพ สโตร์) จำนวน 20 สาขา โดยมีสาขา ศูนย์การค้าเกษร เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นร้านสาขาต้นแบบ ร้านแบบไดร์ฟทรู จำนวน 14 สาขา และร้านสตาร์บัคส์ทั่วไปอีก จำนวน 228 สาขา ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สตาร์บัคส์ยังให้ความสำคัญในการเป็นผู้นำในการสร้างร้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน สตาร์บัคส์ มีร้านกาแฟสีเขียวที่ผ่านมาตรฐาน LEED® ที่เป็นมาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้การยอมรับ มากถึง 42 สาขา นับเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านสตาร์บัคส์ กรีนสโตร์มากที่สุดเป็นอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
สานสัมพันธ์ผ่าน “ประสบการณ์แบบสตาร์บัคส์” แบบไร้รอยต่อ
มร. เมอร์เรย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึง กลยุทธ์ในการทำให้สตาร์บัคส์กลายเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยมีโซเซียลมีเดียและมือถือได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าสตาร์บัคส์ คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าทั้งที่ร้านสตาร์บัคส์และบนโลกโซเซียล พร้อมมอบความสะดวกในการใช้บริการสตาร์บัคส์ในทุกวัน
ปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 50 ของลูกค้าสตาร์บัคส์ เป็นสมาชิก My Starbucks Reward™ ลอยัลตี้ โปรแกรม ของสตาร์บัคส์ โดยมีจำนวนสมาชิก 680,000 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 23 นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ ยังเป็นแบรนด์ร้านกาแฟรายแรกๆ ที่เปิดตัวโมบายเพย์เมนท์ในประเทศไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อเครื่องดื่มและสินค้าภายในร้าน สตาร์บัคส์ ซึ่งในปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดสูงถึง 450,000 ครั้ง
“สตาร์บัคส์ ให้ความสำคัญกับการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยตรงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ยอดนิยม อย่าง Facebook ของ Starbucks Thailand มีจำนวนผู้ติดตามสูงถึง 900,000 คน ส่วน Instagram มีจำนวน ผู้ติดตามกว่า 86,000 ราย ซี่งแต่ละโพสต์นั้น ได้รับการกด Like หรือแชร์ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ครั้ง โดยข้อมูลที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าของเราเป็นอย่างมาก อาทิ แนะนำเครื่องดื่มใหม่ หรือโปรโมชั่นโดนใจต่าง ๆ เป็นต้น โดยรางวัล Thailand Zocial Awards 2016 ในกลุ่มธุรกิจประเภท “ร้านอาหาร” ที่สตาร์บัคส์ได้รับมาเมื่อไม่นานมานี้ เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
18 ปีแห่งความมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนในชุมชน
สตาร์บัคส์มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ผ่านการแสวงหาเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมอย่างมีจริยธรรมจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแก่ชุมชนที่สตาร์บัคส์ดำเนินธุรกิจอยู่ เมื่อไม่นานมานี้ ได้ฉลองครบรอบ 3 ปีร้านกาแฟเพื่อชุมชน (Community Store) แห่งแรกในเอเชียและนอกสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่สาขาหลังสวน โดยบริจาคเงินจำนวน 4,500,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้จากทุก ๆ 10 บาทในการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วในร้านกาแฟสตาร์บัคส์สาขาหลังสวนตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มอบให้แก่องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (The Integrated Tribal Development Program: ITDP) เพื่อการพัฒนาชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกเหนือจากการบริจาครายได้ 5 เปอร์เซ็นต์ของการจำหน่ายกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ได้เริ่มวางจำหน่ายกาแฟพิเศษจากประเทศไทยชนิดนี้
“สตาร์บัคส์จะยังคงรักษามาตรฐานประสบการณ์สตาร์บัคส์ที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้าในประเทศไทย ไม่ว่าเราจะมีขยายจำนวนสาขาไปกี่สาขาก็ตาม เราจะมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับประสบการณ์ที่พิเศษในทุกวันให้กับลูกค้า และเราจะยังคงส่งมอบกาแฟคุณภาพเยี่ยมสู่มือผู้บริโภคควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ กลับคืนสู่สังคม ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 18 ที่ผ่านมา จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดการมีส่วนร่วมของพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) สตาร์บัคส์ทุกคนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการทำงานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผมขอขอบคุณทุกความตั้งใจและทุ่มเทพาร์ทเนอร์ และขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนสตาร์บัคส์ตลอดมา” มร. เมอร์เรย์ กล่าว