รพ. ลาดพร้าว ดีเดย์เปิดศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิค ชั้น 4 ณ. อาคารศูนย์การแพทย์ลาดพร้าวสหคลินิก ชูบริการเต็มรูปแบบทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 20.00 น. ระบุรุกความเป็นเลิศตามาตรฐานJCI ในปีนี้ ด้วยการนำนวัตกรรมการตรวจรักษา และทีมจักษุแพทย์หัวกะทิทุกสาขาเดินหน้าเต็มสูบ ตั้งเป้าแก้ไขโรคตาทุกวัย ชี้ดัชนีคนไทยวัย 60 ปีขึ้นไป สายตาเสี่ยมตามสภาพ พบเป็นต้อกระจกสูงสุด ขณะที่หนุ่มสาววิ่งโร่เป็นโรคตาเพิ่ม เหตุติดจอคอมพ์และตกหลุมสังคมก้มหน้าบนแป้นสมาร์ทโฟนสูงลิ่ว ส่อแววสะสมปัญหายาวนานจนก้าวเข้าสู่ปีแห่งสังคมสูงวัยแน่นอน เริ่มสตาร์ทตั้งแต่พ.ศ 2564 เป็นต้นไป
รศ.นพ.วิรัตน์ วงศ์แสงนาค ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลลาดพร้าว เปิดเผยถึงการเปิดศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิค โรงพยาบาลลาดพร้าว อย่างเป็นทางการว่า สื่บเนื่องจากการสำรวจปัญหาความบกพร่องทางสายตาและปัญหาตาบอดทั่วโลก เมื่อปี พ.ศ.2553 โดยการอ้างอิงขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาทุกช่วงอายุรวมกันจำนวนราว 284 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ประสบกับภาวะตาบอดอยู่ 35 ล้านคน ซึ่งภาวะดังกล่าวพบว่า 82 % มีอายุมากว่า 50 ปีขึ้นไป สาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากปัญหาโรคต้อกระจกสูงถึง 51 %
สำหรับประเทศไทยนั้น พบกลุ่มผู้สูงอายุมากว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 50 % เป็นโรคต้อกระจก ขณะที่อัตราความซุกของโรคนี้ทุกกลุ่มอายุจะอยู่ร้อยละ 9.22 และจากการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ(สูงวัย) ในปี พ.ศ. 2564 จำนวนประชากรที่อายุเกิน 60 ปี ประมาณ 20 % ของประชากรทั้งหมด ราว 66 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราประชากรผู้สูงอายุประมาณ 3.5 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคต้อกระจกประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรผู้สูงอายุ (โดยยังไม่รวมถึงโรคตาอื่นๆ ได้แก่ โรคต้อหิน ซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากต้อกระจก โรคเบาหวานที่จอประสาทตา และโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม) ล้วนส่งผลให้ความสามารถในการปฎิบัติกิจวัตรประจำวันลดลง และเสี่ยงที่จะลุกลามเป็นโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด
ทั้งนี้โรงพยาบาลลาดพร้าว จึงพร้อมเปิดศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิค ขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนให้ศูนย์แห่งนี้ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคตา ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ JCI (Joint Commission International (JCI) อย่างจริงจังขึ้นภายในปีนี้ด้วย เพื่อมุ่งรองรับการให้บริการด้านจักษุครบวงจรสำหรับการแก้ไขปัญหาทางสายตาให้กับประชาชนทุกช่วงวัยนับตั้งแต่บัดนี้ จวบจนถึงห้วงเวลาที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ศักราชของการเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริง
รศ.(พิเศษ) นพ. อัมพร จงเสรีจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์และผู้อำนวยการศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิค โรงพยาบาลลาดพร้าว กล่าวว่า ด้วยผลสำรวจประชากรในรัศมีใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงพยาบาลลาดพร้าว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1 ล้านคนนั้น พบว่าในกลุ่มผู้มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป มีอยู่ราว 123.000 คน และครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้ประมาณ 60,000 คน เผชิญกับปัญหาโรคตาเสื่อมสภาพตามวัย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนผู้ป่วยสูงอายุที่มีมากขึ้น นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าในกลุ่มวัยหนุ่มสาว มีพฤติกรรมการใช้จอคอมพิวเตอร์ และพวกสังคมก้มหน้าบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดปัญหาโรคตาตามมาอย่างมากมาย ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคตามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่ายังเป็นปัญหาสะสมยาวนานไปจนถึงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเปิดประตูต้อนรับการเริ่มต้นเป็นประเทศแห่งสังคมผู้สูงอายุที่แท้จริงเป็นต้นไป สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตที่คนไทยจะเป็นผู้ป่วยโรคตาต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น สู่วัยกลางคน และในวัยชราที่สูงมากขึ้นตามลำดับ
ดังนั้นการเปิดศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิค โรงพยาบาลลาดพร้าว ถือเป็นศูนย์ฯทางการแพทย์ชั้นนำแห่งใหม่อีกแห่งของโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งพร้อมสรรพ์ไปด้วยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานสากลสำหรับการตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัยและเพื่อการรักษาดวงตา อาทิ เครื่องตรวจภาพตัดขวางจอประสาทตาและขั้วประสาทด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องวัดเลนส์แก้วตาเทียมโดยแสงเลเซอร์ การผ่าตัดใส่เลนส์เสริมสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นเกิน 1,000 ที่ไม่อาจทำเลสิคได้ เครื่องผ่าตัดวุ้นตาและจอตา เป็นต้น พร้อมด้วยบุคลากรจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของวงการทั้ง 8 สาขา ได้แก่ จอประสาทตา ต้อกระจกตา ต้อหิน เลสิคและการแก้ไขสายตา ด้านจักษุเด็กและโรคตาเหล่ ด้านศัลยกรรมตกแต่งกระดูกเบ้าตา ม่านตาอักเสบ มาให้บริการทางด้านสายตาแก่ประชาชนตั้งแต่วัยเด็กเล็ก วัยผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในรัศมีใกล้เคียงกับโรงพยาบาลลาดพร้าวได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงประชาชนรอบนอกทั่วไปที่ประสงค์เลือกเข้ารับบริการกับศูนย์ฯของโรงพยาบาลลาดพร้าวเป็นสำคัญ สามารถติดต่อได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์โรคตาและศูนย์เลสิก ชั้น 4 อาคารศูนย์การแพทย์ลาดพร้าวสหคลินิก โรงพยาบาลลาดพร้าว ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายรองรับการให้บริการผู้ป่วยในปีนี้เพิ่มอีกเท่าตัว และคาดว่าจะมีรายได้เติบโตภายหลังให้บริการถึง 100 % อย่างแน่นอน