จังหวัดกาญจนบุรี จุดหมายปลายทางแรกที่ทุกคนที่ไปเที่ยวกาญจนบุรีจะต้องไปคือ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” สะพานรถไฟที่พาดผ่านแม่น้ำแควใหญ่ ที่นอกจากสวยงามด้านสถาปัตยกรรมของตัวสะพานแล้วยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังคงสร้างความน่าสนใจให้ผู้คนทั่วไปได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญถ้าหากมาเมืองกาญจน์แล้วไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับสะพานนี้ ดูเหมือนว่าจะยังมาไม่ถึง
กาญจนบุรีเป็นจังหวัดมีสถานท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออยู่มากมาย ทั้ง “อุทยานแห่งชาติ น้ำตกเอราวัณ” ที่สวยงามท่ามกลางธรรมชาติ หรือสะพานมอญ “สังขละบุรี” รวมไปถึงโบสถ์ใต้น้ำ วัดวังก์วิเวการาม (วัดหลวงพ่ออุตตมะ) หรือบรรยากาศสุดชิว ท่ามกลางสายหมอกบาง ๆ แห่งลุ่มน้ำสามประสบ รวมทั้ง “เขื่อนศรีสวัสดิ์” ที่ว่ากันว่ามีบรรยากาศที่ดีและสวยงาม จนถูกขนานนามว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทย
หรือหากนักท่องเที่ยวสนใจ ท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาก็สามารถไปสักการะพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่วัดเทวสังฆาราม ที่สามารถศึกษาพระประวัติพระองค์ท่านได้ ที่หอพระประวัติสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งทำให้รู้ว่าพระองค์ท่านเกิดและเติบโตอยู่ในชุมชนใกล้ ๆ แห่งนี้ ที่มีชื่อเรียกว่า “ปากแพรก” และได้บวชเรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้ ก่อนไปศึกษาพระธรรมต่อที่วัดบวรนิเวศวิหาร และได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ของประเทศไทย
เมื่อซึมซับข้อมูลมาจากหอพระประวัติฯ ที่ทำให้รู้ว่า “ถนนปากแพรก” ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหน้าวัด มีความน่าสนใจ ด้วยความเป็นชุมชนเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่มาสร้างเมืองกาญจนบุรี ยังคงต้องมีบ้านเก่า ๆ หรือประตูไม้บานใหญ่ ๆ และมุมเก๋ ๆ ให้ถ่ายรูปอยู่ไม่น้อย เป็นภาพที่เห็นแล้วก็ชวนตื่นตาและพาตื่นใจกว่าแน่นนอน เพราะบ้านเรือนเก่าของที่นี่ดูแปลกตากว่าทุกซึ่งมีทั้งบ้านแบบฝรั่ง จีน ญวน และแบบไทยเรียงรายอยู่ 2 ฝั่งถนน ตามแนวกำแพงเมืองของกาญจนบุรี
พร้อมกันบ้านเรือนบนถนนสายนี้ได้เปิดให้ผู้สนใจได้เยี่ยมชมได้ทุกวันเสาร์ พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาของบ้านแต่ละหลังให้ฟังโดยละเอียด หรือบ้านบางหลังที่ยังไม่ได้เปิดให้เยี่ยมชม ก็มีข้อมูลแสดงไว้บนแผ่นป้ายแสดงไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าชุมชนบนถนนบางแพรก นอกจากเป็นบ้านเดิมของสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ยังเป็นบ้านเกิดและที่อยู่อาศัยของบุคคลสำคัญของไทยหลายคน ทั้งอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูล ศิลปินแห่งชาติ หมอประเวศ วะสี นักคิดนักเขียนชื่อดัง รวมทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของไทย ก็มีเรือนหออยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ก็คือเรื่องราวของบ้านแต่ละหลังและเรื่องราวของผู้คนที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้ ซึ่งผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญ ตั้งแต่การตั้งเมืองกาญจนบุรี และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านแต่ละหลังยังคงถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี อย่างบ้าน “บ้านแต้มทอง” ซึ่งเป็นบ้านตึกหลังแรกของถนนปากแพรก สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยช่างชาวจีนที่พาขึ้นเรือสำเภามา ทำให้สถาปัตยกรรมจึงเป็นแบบจีน แม้เวลาผ่านมากว่า 150 ปี แต่บ้านก็ยังคงความสมบูรณ์ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ไว้เหมือนของเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์
บ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ (สิริโอสถ) เป็นบ้านอีกหนึ่งหลังที่น่าสนใจมาก ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านขายของชำ และมีข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่อย่างครบถ้วน ทำให้ทหารญี่ปุ่นได้มาติดต่อขอซื้อสินค้าจากนายบุญผ่องซึ่งเป็นเจ้าของร้านที่ต้องขนของช่วยเชลยไปส่งที่ค่ายญี่ปุ่นจึงได้ไปเห็นความยากลำบากของเชลยชาติต่างๆที่ถูกเกณฑ์มาทำทางรถไฟ จึงแอบช่วยอย่างลับๆ เช่นแอบส่งยาแก้ไข้มาเลเรีย ส่งเครื่องมือสื่อสาร รวมทั้งแอบช่วยเชลยที่หลบหนีออกมาด้วย ทำให้หลังสิ้นสุดสงคราม ได้รับสมญานามว่า “วีรบุรษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ” มีส่วนให้ประเทศไทยไม่ถูกปฏิบัติอย่างผู้แพ้สงคราม ซึ่งเรื่องราวของนายบุญผ่องถึงนำมาสร้างเป็นละครด้วย
และหากเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับร้านกาแฟ “บ้านสิทธิสังข์” ซึ่งเป็นบ้านสไตล์ยุโรป ที่ผ่านการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นร้านขายของ เป็นสำนักงานทนายความในอดีต ปัจจุบันเปิดเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งได้อย่างเก๋ไก๋ ทว่ายังคงรูปแบบของสถาปัตยกรรมเดิมไว้ได้อย่างสวยงาม และเมื่อถึงเวลาบ่ายๆ ก็จะเริ่มเห็นมีพ่อค้า แม่ขายทยอยนำสินค้ามาวางจำหน่ายเรียงรายอยู่สองข้างถนน เพราทุกวันเสาร์ อาทิตย์ บ่าย 4 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม ถนนปากแพรกเส้นนี้ จะจัดให้เป็นถนนคนเดิน ซึ่งเชื่อมเส้นทางตั้งแต่ถนนโต้รุ่ง ผ่านหน้าจวนผู้ว่ามาถึงหน้าเมืองและเลี้ยวเข้าถนนปากแพรก ขณะนี้สิ้นสุดบริเวณหน้าบ้านสิทธิสังข์ นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นสินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องใช้เก่า ๆ ภาพวาด งานศิลปะ หรือสินค้าเกษตร พืชผักปลอดสารพิษ ผลไม้นานาชนิด เช่น มะพร้าวน้ำหอม มะม่วงน้ำดอกไม้มัน ข้าวโพดหวาน ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของกาญจนบุรี ฯลฯ ซึ่งชาวบ้านนำมาจำหน่ายกันเอง รวมไปถึงของกิน ทั้งคราวและหวานน่ารับประทานอยู่อย่างมากมาย ทั้งเป็ดย่างเกลือ ผัดไทยโบราณ ข้าวหลาม ฯลฯ แต่ที่ถูกใจที่สุดเห็นทีจะเป็น ข้าวเกรียบปากหม้อ ที่ต้องทานกันสด ๆ ตรงนั้น ซึ่งเป็นรูปแบบของข้าวเกรียบปากหม้อของอำเภอท่าเรือ หรือขนมทองโย๊ะ ขนมไทยโบราญที่หาทานได้ยาก ก็มีจำหน่ายบนถนนเส้นนี้
นอกจากที่เที่ยว และถนนคนเดินปากแพรกแล้วกาญจนบุรียังมีเมนูอาหารที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่ทุกคนมาแล้วจะต้องลองสั่งดู เพราะเป็นเอกลักษณ์อาหารของกาญจนบุรี อาทิ แกงป่าปลาคัง แกงคั่วหอยขม ต้มยำไก่บ้าน ผัดผักหวานน้ำมันหอย ฯลฯ และหากมีเวลาลองแวะมาเที่ยวกาญจนบุรี จะสมคำล่ำลือสมกับคำที่ว่า “เย็นย่ำ พาเพลิดเพลินที่ถนนคนเดิน “ปากแพรก”กาญจนบุรี