โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการเกาะของคราบไขมัน พังผืด หินปูน (Plaque) ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นการสะสมของคอเลสเตอรอลและสารต่างๆ ภายในหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันจนปิดกั้นการไหลเวียนของกระแสเลือด ผู้ป่วยจึงมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด หรือรุนแรงถึงขั้นหัวใจวาย หากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ โคเลสเตอรอลสูง โรคความดันโลหิตสูง ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจแข็ง อาจจะตีบ ตัน หรือโป่ง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การสูบบุหรี่ ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจมากถึง 24% ซึ่งสารนิโคตินและก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ในควันบุหรี่นั้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มหรือก้อนอีกด้วย และโรคเบาหวานเป็นความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากถึง 2 เท่า โดยอาการของภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบทำให้ร่างกายไม่สามารถส่งกระแสเลือดและออกซิเจนไปยังหัวใจได้ โดยเฉพาะในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างออกกำลังกาย เป็นต้น
รศ.นพ.ดำรัส ตรีสุโกศล แพทย์ปฏิบัติการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจผ่านสายสวน และผู้อำนวยการอาวุโส อายุรแพทย์หัวใจ รพ. หัวใจกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่า การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การตรวจฉีดสารทึบรังสีสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Catheterization) เป็นวิธีการที่พบได้บ่อยเพื่อใช้ในการวินิฉัยและรักษาโรคหัวใจชนิดต่างๆ หัตถการนี้แพทย์จะทำการใส่สายสวน (Catheter) ซึ่งมีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนที่ได้ เข้าไปในหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำบริเวณขาหนีบ ข้อมือ แขน หรือลำคอ สายสวนจะค่อยๆ ถูกใส่และเคลื่อนไปตามหลอดเลือดเพื่อไปยังหัวใจ โดยตำแหน่งของหลอดเลือดแดงที่ทำกันแพร่หลายคือตำแหน่งของหลอดเลือดแดงที่ขา (Femoral Artery) เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ขาเป็นหลอดเลือดแดงที่ใหญ่ สามารถใส่สายสวนเข้าไปได้ง่าย ผู้ป่วยจะมีแผลขนาดเท่าเข็มบริเวณขาหนีบ ทำให้หลังทำหัตถการผู้ป่วยจะต้องนอนราบ ห้ามงอขาข้างที่มีแผลเป็นเวลาค่อนข้างนานอยู่ที่ประมาณ 2-6 ชั่วโมง แพทย์โรคหัวใจจึงได้พยายามหาตำแหน่งของหลอดเลือดแดงตำแหน่งอื่น ซึ่งก็คือ หลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery) เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน สามารถพัฒนาการรักษา การทำหัตถการโดยการใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Transradial Catheterization) ช่วยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องแทงเข็มใหม่
การใส่สายสวนหัวใจทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ สามารถทำได้ทั้งข้อมือด้านซ้ายและด้านขวา แม้ว่าหลอดเลือดจะมีขนาดเล็กกว่าและมีทางเดินที่คดเคี้ยวกว่า แต่ก็มีการพัฒนาอุปกรณ์การรักษาให้มีความเหมาะสม สามารถทำการตรวจและรักษาได้ใกล้เคียงกับการตรวจผ่านหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ จนกระทั่งปัจจุบันนี้มีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสวนหัวใจผ่านข้อมือนั้นมีประโยชน์และข้อดี คือ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่เกิดจากการใส่สายสวนหัวใจทางหลอดเลือดแดงที่ขา ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนาน ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ทันทีหลังการผ่าตัด มีภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ (Local Complication) จากการใส่สายสวนน้อยกว่าแบบการสวนผ่านทางขาหนีบ เนื่องจากเส้นเลือดมีขนาดเล็กกว่า และอยู่ใกล้ผิวหนังมากกว่าทำให้ห้ามเลือดได้ดีกว่ามาก ซึ่งหากมีเลือดออกบริเวณขาหนีบอาจจะต้องให้เลือด หรือบางครั้งจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดโป่งพองจนอาจต้องผ่าตัดซ่อมแซม และจะทำให้ผู้ป่วยงอขา หรือลุกเดินได้ช้า ที่สำคัญยังลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ภายหลังทำหัตถการผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เข้าห้องน้ำหรือรับประทานอาหารเองได้ โดยปกติการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ทำการตรวจเป็นหลัก โดยแพทย์ต้องมีความชำนาญวิธีนี้ ในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมากหรือมีภาวะหลอดเลือดขาส่วนปลายตีบ การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือจะมีข้อดีกับผู้ป่วยมากกว่า แต่ในบางกรณีที่ต้องการรักษาหลอดเลือดแดงที่ข้อมือไว้ใช้ในการรักษาอื่นๆ เช่นการฟอกไต (Hemodialysis) หรือผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจที่อุดตันเพื่อทําทางเดินของเลือดใหม่ การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบก็จะมีข้อดีมากกว่า
รพ.หัวใจกรุงเทพ มุ่งหวังสู่ความเป็นเลิศด้านการรักษาโรคหัวใจ ซึ่ง รศ.นพ.ดำรัส ตรีสุโกศล เข้ามามีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบผ่านทางสายสวนให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสูง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในผู้ป่วยแต่ละราย ในปัจจุบันการรักษาโรคหัวใจตีบผ่านทางสายสวน มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมากทั้งในด้านการรักษาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ วิธีการรักษาโรคหัวใจผ่านทางข้อมือก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ทำให้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบใช้เวลานอนพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้นลง ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เข้ามาพบแพทย์จะมีลักษณะของหลอดเลือดที่มีระดับความยากง่ายแตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยบางรายมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเพียงเส้นเดียวแต่มีการตีบหลายจุด หรือตีบหลายๆ เส้น แบบนี้แพทย์จะต้องหาวิธีการในการรักษาที่ดีเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล ถือเป็นจุดสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย กระบวนการสำคัญ คือ การให้คะแนนหลอดเลือดหัวใจ (syntax) อันดับแรก คือ ทีมแพทย์ให้การตรวจวินิจฉัยวิเคราะห์ที่แม่นยำ (Precision medicine) โดยไม่ใช้สายตาคาดคะเน ที่เรียกว่า QCA (Quantitative Coronary Analysis) ดูเปอร์เซ็นต์การตีบของเส้นเลือด ค่าสถิติต่างๆ มาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและเลือกรูปแบบการรักษา อันดับที่ 2 คือ การใช้เครื่องมือช่วยวัดอัตราการไหลเวียนสำรองของเส้นเลือด (FFR: Fractional Flow Reserve) โดยการใส่สายไปที่เส้นเลือดหัวใจ เพื่อที่จะบอกว่าส่วนที่ตีบส่วนนี้ควรจะต้องทำการรักษาหรือไม่ ทำให้รู้ค่าสัดส่วนความดันเลือดที่ตีบส่วนต้น (จุด a) กับส่วนปลาย (จุด b) เพื่อบอกอัตราการไหลเวียนสำรองของหลอดเลือด หัวใจว่าเพียงพอหรือไม่ ตัวอย่างคือ ถ้าค่า EFR < 0.8 บ่งชี้ให้เราขยายตำแหน่งที่ตีบ เราจะทำให้เลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ เพิ่มอีก 20 % ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้รักษาได้ถูกตำแหน่ง และในอนาคตอันใกล้ รพ.หัวใจกรุงเทพจะนำวิธีการตรวจวินิจฉัย อันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 มาผสมผสานกัน เรียกว่า (QFR: Quantitative Flow Ratio) ขั้นที่ 3 คือ แพทย์จะต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ป่วยมีอาการหลอดเลือดตีบมากน้อยแค่ไหน ถ้าผู้ป่วยมีอาการตีบ 1-2 เส้น คะแนน syntax ต่ำๆ การทำบอลลูนก็จะเข้ามามีบทบาท แต่หากผู้ป่วยมีอาการหลอดเลือดตีบมากกว่า 2-3 เส้นขึ้นไป หรือคะแนน syntax สูงๆ หรือจำเป็นต้องทำบอลลูนใส่เสต็นท์ (Stent) หลายๆตัวซึ่งอาจไม่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาส่งผู้ป่วยให้ Heart Team เข้ามาดูแล ซึ่งเป็นทีมแพทย์แบบสหสาขา (multidisciplinary) เพื่อหาวิธีการรักษาที่ดีและเหมาะสมให้กับผู้ป่วย อาทิ การผ่าตัดทำบายพาสเส้นเลือดหัวใจ ฯลฯ แนวทางสุดท้าย ในอนาคต รพ.หัวใจกรุงเทพ มีความมุ่งมั่นที่จะวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีความซับซ้อนสูง เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตันเรื้อรัง เส้นเลือดหัวใจตีบบริเวณขั้วหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบแบบมีหินปูนเกาะผนังหลอดเลือดจำนวนมาก เส้นเลือดตีบตรงทางแยก แบบนี้เป็นการรักษาที่ซับซ้อน ดังนั้นผลลัพธ์ในการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า stent optimization โดยการวัดขนาดหลอดเลือดภาคตัดขวางด้วยสายสวน เพื่อให้การใส่ขดลวด (stent) ถ่างขยายหลอดเลือดเต็มที่ การตรวจคลื่นสะท้อนในหลอดเลือด หรือการใส่สายสวนตรวจด้วยแสงที่มีความถี่สูงเพื่อให้ได้ความแม่นยำมากขึ้น และการส่องกล้องแบบคลื่นเสียงสะท้อนโดยใช้กระบวนการและแนวทางการรักษาตามมาตรฐานของอเมริกา American College of Cardiology (ACC) และ Society of Cardiac Angiography and Coronary Intervention (SCAI)
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันสำหรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มีคะแนน syntax สูงๆ อีกทางหนึ่ง คือ การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจแบบไม่ต้องหยุดหัวใจ หรือ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass Grafting)
นายแพทย์วิฑูรย์ ปิติเกื้อกูล รองผู้อำนวยการศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวถึง การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจหรือการทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass Grafting) ว่า เป็นการผ่าตัดหัวใจในขณะที่หัวใจยังเต้นอยู่ โดยนำเครื่องมือเข้ามาเกาะยึดหัวใจให้หยุดนิ่งในตำแหน่งที่ทำการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจยังเต้นเป็นจังหวะ ซึ่งการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจรักษาโดยทีมแพทย์ ด้วยประสบการณ์ทำให้การผ่าตัดรวดเร็วขึ้นเป็นสิ่งสำคัญในการรักษา เพราะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วย ข้อดีของการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจนั้นมีมากมาย เช่น เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีอัตราเสี่ยงสูง ผู้ป่วยที่มีหลายโรคแทรกซ้อน ช่วยให้ผู้ป่วยเสียเลือดน้อยลงขณะผ่าตัด ระยะเวลาในการผ่าตัดน้อย ดมยาสลบน้อยกว่า พักฟื้นในโรงพยาบาลไม่นาน ผลข้างเคียงและอาการแทรกซ้อนน้อยกว่า ช่วยให้หัวใจกลับมาแข็งแรงขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นอีกวิธีการผ่าตัดที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับสากล ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์ทางด้านหัวใจ ตลอดจนอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีในการรักษาช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยในการผ่าตัด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โทร.1719