นายจักร เฉลิมชัย รองประธานกลุ่มพัฒนาธุรกิจใหม่และอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 60 ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น รุกตลาดสร้างเซกเมนต์ใหม่ในตลาดไลฟ์สไตล์แบรนด์ โดยประเดิมแบรนด์ เอแตม (ETAM) ชุดชั้นในสตรี ระดับพรีเมี่ยม จากประเทศฝรั่งเศส มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ แพทเทิร์นดูดี เหมาะกับไซส์ของคนไทย เน้นดีไซต์คุณภาพของลูกไม้ฝรั่งเศส ดูดีเหมาะกับไซส์คนไทย รวมถึงกลุ่มสินค้า Night wear วางกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปี จากตลาดรวมชุดชั้นในที่มีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท
แบรนด์ “เอแตม”ถือเป็นแบรนด์ชุดชั้นในที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส มียอดขายอันดับ 1 ติดต่อกัน 4 ปี ตั้งแต่ปี 2013-2016 และเป็นแบรนด์ที่ครองใจสุภาพสตรีทั่วโลกมานานถึงหนึ่งศตวรรษ
นายจักร เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดชุดชั้นในมีขนาดใหญ่มาก เติบโตต่อเนื่องทุกปีและมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าตลาดเสื้อผ้าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม อายุ 25-35 ปี ที่มีกำลังซื้อสูง ที่ต้องกรสินค้าแบรนด์เนมที่มีไลฟ์สไตล์ ดีไซน์สวย มีนวัตกรรรมมากกว่าชุดชั้นในทั่วไป ซึ่งเราได้นำเข้าแบรนด์ เอแตม 100 %
ดารารัตน์ บุญธรรม ผู้จัดการแบรนด์ชุดชั้นใน Etam (เอแตม) บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แบรนด์ เอแตม มีจุดแข็งในความโดดเด่นของแบรนด์และตัวสินค้า มีทั้งสินค้าที่สวมใส่ได้ทุกวัน บรา โครงจะนิ่ม ไม่เจ็บ ลูกไม้สวยงามและทนทาน รวมไปถึงสินค้าที่ใส่สำหรับโอกาสพิเศษ กลุ่มบราแฟชั่น รูปแบบเซ็กซี่ สามารถมิกซ์แอนด์แมทซ์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,290-1,890
ปัจจุบัน เอแตมมีช็อปทั้งหมด 12 สาขา แบ่งเป็น Free standing5 สาขา Shop in shop 7 สาขา และปีนี้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 8 แห่ง หรือภายในสิ้นปีจะมีทั้งหมด 20 สาขา โดยเพิ่ม Free Standing 1 สาขา และ Shop in shop 7 สาขาเน้นทำเลใจกลางเมืองท่องเที่ยวที่มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติจำนวนมาก อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา
นายจักร เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากแบรนด์เอแตมอยู่ที่ 350-400 ล้านบาท รายได้รวมของปี 2559 อยู่ 2,600 ล้านบาท เติบโต 6 % จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2560 แนวโน้มโตต่อเนื่อง โดยประเมินตลาดแฟชั่นเสื้อผ้าและชุมชั้นในสตรีจะมีอัตราเติบโตราว 24% หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท และยืนยันเป้าหมายผลักดันยอดขายรวมในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวแตะ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบด้วย การเป็นผู้นำตลาดไลฟ์สไตล์ การสร้างเซ็กเมนท์สินค้าใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงการควบรวมกิจการและเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่เข้าพอร์ต จากปัจจุบันมีไม่ต่ำกว่า 12 แบรนด์